ฟินแลนด์ ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

วันนี้ได้อ่านบทความดี ๆ จากคุณนิโคลา เลยขออนุญาตเอามาเก็บไว้ที่นี่
เผื่อใครไม่เคยได้ผ่านเข้าไปบอร์ด สพฐ. เลย ....

เรื่องราวการเรียนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาของคนฟินแลนด์

เรื่องนี้มันดี​และ​คิดว่า​ ​สำ​คัญ​ ​ก็​เลยเอามา​เล่า​กัน​ฟัง​

​บท​ความ​นี้​ ​เรียบเรียง​จาก​ ​เรื่องที่ปรากฎ​ใน​หนังสือพิมพ์​ The Wall Street Journal ( ​หนังสือพิมพ์ธุรกิจของสหรัฐ) ​วันที่​ 29 ​กพ​ 2008.
( ​ใครสนใจ​จะ​อ่าน​ ​ฉบับ​ดั้งเดิม​ ​ไปดู​ได้​ที่​

http://online.wsj.com/article/SB120425355065601997.html?mod=ONLX

"ทำ​ไมเด็กชาวฟินแลนด์​ ​ถึง​ได้​ฉลาด​ ( ​หรือ​จะ​แปลว่า​ '​เก่ง​') ​นัก" ( What makes Finnish Kids SO SMART? )
​พบว่า​ ​นักเรียนวัยสิบห้า​ ​จาก​ฟินแลนด์​ ​ทำ​ข้อสอบมาตรฐาน​ ​ซึ่ง​ได้​ทดสอบ​กับ​เด็ก​จาก​ 57 ​ประ​เทศ​ ​ได้​คะ​แนนสูงที่สุด​ ​ทั้งๆ​ที่​ใน​บท​ความ​กล่าวว่า​ ​เด็กนักเรียน​ใน​ฟินแลนด์มีการบ้านที่​ต้อง​ทำ​นานเกินครึ่งชั่วโมงน้อยมาก​ ​ไม่​มีการแบ่งห้องเด็กเก่ง​ ​หรือ​ไม่​เก่ง​ ​ไม่​แบ่งห้องคิงส์​ ​ไม่​มีการข้อสอบวัดมาตรฐาน​( standardized testing ) ​ตามระดับชั้นต่างๆ​ ​ไม่​มีการจัดว่า​ใคร​ได้​ที่หนึ่ง​ใน​ชั้น​ ( Valedictorian) ​และ​พ่อแม่​ผู้​ปกครอง​ใน​ฟินแลนด์ก็​ไม่​ตื่นเต้นเรื่องลูก​จะ​เข้า​มหาวิทยาลัย​ ( ​จะ​เล่าภายหลังว่าทำ​ไม​เป็น​เช่น​นั้น)​

​ใน​ขณะที่นักเรียนอเมริ​กัน​ซึ่ง​โดนอัด​ด้วย​ ​การบ้าน​ ​การสอบเทียบมาตรฐาน​ ​และ​กฎเกณฆ์ต่างๆ​ ​ทำ​ได้​แค่​ C ​เท่า​นั้น​ ( ​กล่าวคือ​อยู่​ตรงกลาง​ ​ของนักเรียน​จาก​ 57 ​ประ​เทศ​ )

​อย่างไรก็ดี​ ​เด็กวัยรุ่นฟินแลนด์​ ​ก็​เหมือนเด็กอเมริ​กัน​ ​คือ​ ​วันๆ​ ​ก็​เสียเวลา​เป็น​ชั่วโมง​กับ​ Online ​ย้อมผม​ ​ชอบพูดจา​แบบย้อน​( sarcasm ) ​ฟังเพลงประ​เภท​ rap ​และ​ heavy metal ​เช่น​กัน​ ​แต่​เมื่อมา​ถึง​เรื่อง​ ​คณิต​ ​วิทย์​ ​และ​การอ่าน​แล้ว​ ​เด็กฟินแลนด์​ไป​ไกล​ว่าชาวบ้านหลายๆ​ขุม​ ​ความ​สามารถ​แบบนี้​ ​จะ​เป็น​สิ่งสำ​คัญ​ใน​การที่​จะ​เป็น​พลเมืองที่มีคุณภาพที่ดี​และ​มีประสิทธิภาพ​ใน​การทำ​งานที่สุด​ใน​โลก​ ( productive workers )

​การทดสอบที่ว่านี้​ ​จัดขึ้น​โดย​องค์กรที่ชื่อ​ Organization for Economic Cooperation and Development ( OECD). ​ซึ่ง​ได้​รับการ​ช่วย​เหลือดู​แล​จาก​ 34 ​ประ​เทศ​ ​เพื่อดู​ความ​โน้มน้าว​ ​ก้าวหน้า​ ​ใน​เรื่องสังคม​และ​เศรษฐกิจ​ ​ยกตัวอย่าง​ใน​การทดสอบครั้งล่าสุด​ ​ได้​เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์​ ​ซึ่ง​ ​เด็กฟินแลนด์​ ​ทำ​ได้​ดีที่สุด​ ​ส่วน​คณิตศาสตร์​และ​การอ่าน​ ( Math and Reading ) ​นั้น​ ​ได้​คะ​แนนเกือบสูงสุด​ ​การสอบ​ทั้ง​สามวิชา​ซึ่ง​จัดทำ​โดย​ OECD ​นี้​ ​เขา​เรียกว่า​ "Program for International Student Assessment" ​หรือ​เรียกย่อๆ​ ​ว่า​ PISA ​โดย​ทดสอบเด็กจำ​นวน​ทั้ง​สิ้น​ 4 ​แสนคน​ ​คำ​ถาม​จะ​เป็น​ multiple-choice questions ​และ​มีคำ​ถาม​ให้​บรรยายเช่น​กัน​ ​คำ​ถาม​เป็น​ให้​ ​คิด​ ​ออก​ความ​เห็น​ ​รวม​ทั้ง​เอา​ความ​รู้มา​ใช้​ ( critical thinking and application of knowledge ) ​ยกตัวอย่างว่า​ ​ให้​ออก​ความ​เห็นว่า​ ​การเขียน​หรือ​วาดรูป​ ( graffitti ) ​บนฝาผนัง​ใน​ที่สาธารณะ​นั้น​มีคุณค่า​ใน​ทางศิลป์​ ​อย่างไรบ้าง​ ( Discuss the artistic value of grafitti )

SCIENCE
======
Findlang ===== 563
Hong Kong ====542
Canada ===== 534
Taiwan ======532
Estonia ======531
Japan =======531
New Zealand == 530
Australia =====527
Netherlands ===525
Liechtenstein===522

US =========489

​จาก​ผลงานของเด็กฟินแลนด์​ ​นี้​ ​ทำ​ให้​นักการศึกษา​จาก​ 50 ​ประ​เทศรวม​ทั้ง​จาก​ประ​เทศอเมริกา​ ​เข้า​มาศึกษาดูว่า​เขา​ทำ​อย่างไร​ ( ​นักการศึกษา​ไทย​ ​หากคิด​จะ​ไปเที่ยว​ ​บอก​ได้​ว่า​ ​ประ​เทศฟินแลนด์​ ​ไม่​มีอะ​ไร​ ​น่า​เที่ยวเลย​ ​เป็น​เมืองเก่าๆ​ ​และ​เล็ก​ ​บ้านเรามีที่​เที่ยวมากกว่า​แยะมาก)

​พบว่าวิธีการของ​เขา​ธรรมดามาก​ ​แต่ทำ​เลียนแบบยาก​ ​พบว่า​ ​ครู​ได้​รับการฝึกฝน​ใน​การสอนอย่างดี​ ​และ​รับผิดชอบต่อเด็กสูง​ ​เร่ม​จาก​ตอนเด็ก​ยัง​เล็ก​ ​จะ​ให้​ทำ​สิ่งต่างๆ​ ​โดย​ที่​ผู้​ใหญ่​( adult ​ใน​ที่นี้คิดว่า​ ​ครู​ใน​ห้อง​ -​ผู้​เรียบเรียง) ​ไม่​ต้อง​คอย​เป็น​พี่​เลี้ยงตลอดเวลา​ ​ครู​จะ​จัดหลักสูตร​ให้​เขา​กับ​เด็กที่​เขา​สอน​ใน​ห้อง​
​ผอ​ ​โรงเรียนที่จัดทำ​โครงการสอน​ ( ​เข้า​ใจว่าน่า​จะ​ตรง​กับ​บ้านเราคือ​ ​รร​ ​สาธิต​ ) ​กล่าวว่า​ "​เรา​ไม่​มีน้ำ​มัน​ ​หรือ​ทรัพยากรที่มีค่า​อื่นๆ​ " ​แต่​ ​ชาวฟินแลนด์​จะ​มี​ความ​รู้​ ( KNOWLEDGE )

​ที่​ ​รร​ ​ที่ว่านี้​ ​คือ​ Norssi School ​ใน​เมือง​ Jyvaskyla ​ซึ่ง​เป็น​เมืองที่​อยู่​ตอนกลางของประ​เทศ​ ​นักการศึกษา​หรือ​ผู้​เยียมชม​ ​สามารถ​เข้า​ไปดูการสอน​ได้​ ​โรงเรียน​เป็น​โรงเรียนที่ทันสมัย​ ​แต่​ไม่​มีวงดนตรี​ ​หรือ​วงดุริยางค์​ ​ไม่​มีทีมกิฬา​ ​หรือ​งานตอนจบการศึกษา​ ( prom )

​ผู้​เขียน​ได้​ไปติดตามเด็กหญิงอายุ​ 15 ​ปี​ ​หนึ่งคน​ ​พบว่าหลักสูตรก็ธรรมดา​ ​เด็กคนนี้​อยู่​ชั้น​ 9 ( ​ตรง​กับ​ ​ม​ 3 ​ของเรา​ ) ​ชอบอ่านหนังสือที่พวกเด็กหญิงอ่าน​ ​ชอบดูรายการทีวี​ ​และ​ชอบออกไปซื้อเสื้อผ้า​กับ​เพือน​ใน​ห้างร้าน​ ​เด็กคนนี้​ ​สอบ​ได้​ A ​หมด​ ​ใน​บางเวลาก็​ใช้​เวลา​เขียนลงสมุดบันทึกของตนเอง​ ​ใน​ขณะที่รอเด็กคน​อื่น​พยายามเรียน​ให้​ทันตนเอง​ ​ใน​บางครั้งก็​จะ​ช่วย​เพื่อน​ใน​ห้องที่ตามคน​อื่น​ไม่​ทัน​ ​นักการศึกษาของฟินแลนด์​เชื่อว่า​ ​โดย​ทางรวม​แล้ว​ ​การมุ่งไป​ช่วย​คนที่​เรียนช้า​จะ​มีผลดีต่อ​ส่วน​รวมมากกว่าที่​จะ​พยายาม​จะ​ไปผลักดัน​ให้​เด็กเก่งๆ​ไป​เร็ว​ ​เพราะ​คิดว่า​ ​เด็กเก่ง​หรือ​ฉลาด​สามารถ​ช่วย​คน​อื่น​ได้​ ​โดย​ที่​ไม่​ทำ​ให้​งานตนเอง​ต้อง​เสีย​หรือ​ช้า​ไป​

​ตอนเที่ยงเด็กคนนี้ก็​สามารถ​ออกไปซื้อขนมนอกโรงเรียน​กับ​เพื่อน​ได้​ ​แล้ว​กลับมา​เรียนฟิสิคส์ตอนบ่าย​ได้​ ​ห้องเรียน​จะ​เริ่ม​ ​เมื่อทุกคนพร้อม​ ​เงียบ​ ​ครู​และ​นักเรียน​ใช้​เรียกชื่อ​โดย​ใช้​ชื่อต้น​ ( ​ตะวันตก​ใช้​เรียก​โดย​นามสกุล​ ​นอก​จาก​จะ​สนิทสนม​ถึง​จะ​ใช้​ชื่อต้น) ​มีกฎที่​ใช้​ใน​ห้องเรียน​อยู่​อย่างเดียวคือ​ ​ห้าม​ใช้​โทรศัพย์มือถือ​ ​ห้าม​ใช้​ iPods ​และ​ห้าม​ใส่​หมวก​ใน​ห้อง​

​เพื่อนๆ​ของเด็กคนนี้บางคนก็ย้อมผมบ้าง​ ​บางคนก็​ใส่​เสื้อแบบ​ tank top ( ​เดาว่าน่า​จะ​ตรง​กับ​สายเดี่ยว​ใน​บ้านเรา​-​ผู้​เรียบเรียง) ​หรือ​รองเท้าที่มีหนามแหลมตรงส้น​ ​เพื่อ​ให้​ดู​เหี้ยม​ใน​ฤดูหนาว​ ​บางคนก็​ใช้​ tanning lotion ( ​ทา​ให้​ผิวเปลี่ยน​เป็น​สี​เข้ม​ ) ​เด็กๆ​ก็​แยกตามกลุ่มของแฟชั่นบ้าง​ ​ความ​สนใจ​หรือ​ความ​ชอบบ้าง​ ​เช่น​ hip-hop ​หากไปถามเด็กพวกนี้​ ​แบบ​ไม่​เข้า​ท่า​ ​ก็​จะ​ถูกย้อน​กับ​มาว่า​ "check it on Google, you idiot" ( ​ก็​ไป​ค้น​ใน​ Google​เสียซิ​ ​ไอ้งั่ง​ ) ​พวกเด็กวัยรุ่นฟินแลนด์ก็​เข้า​ไปมั่ว​ใน​ online chat ​เช่น​ใน​ irc-galleria.net

​รร​ Narssi ​นี้ดำ​เนินงานเหมือน​ ​โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย​ ​คือ​ ​นอก​จาก​รักษาคนใข้​แล้ว​ ​เขา​ยัง​สอนแพทย์ประจำ​บ้าน​ ​รร​ ​นี้​ ​ก็​เช่น​กัน​แต่ละปี​จะ​มีครูมา​เข้า​ฝึกอบรมการสอน​ ​ราว​ 800 ​คน​ ​ผู้​เข้า​อบรม​จะ​ได้​รับการประ​เมินขณะที่ทำ​การสอนเด็ก​จาก​ผู้​ฝึก​ ​ครู​ผู้​เข้า​มาฝึก​ต้อง​จบ​ ​ป​ ​โท​ ​และ​ ​มีผุ้​ต้อง​การ​เข้า​มาฝึก​เป็น​อันมาก​ ​ต้อง​แข่ง​กัน​ ​เพราะ​ ​ทุกๆ​ตำ​แหน่งที่​เปิดรับ​ ​จะ​มี​ผู้​สมัครราว​ 40 ​คน​ ​เงินเดือนก็สูสี​กับ​ทางสหรัฐ​ ​แต่ครูที่ฟินแลนด์มีอิสระ​ใน​การสอนมากกว่า​

​ครู​จะ​เลือกหนังสือ​หรือ​ตำ​รา​เอง​ ​แต่​ต้อง​ให้​เข้า​กับ​มาตรฐานของชาติ​ ​"​ใน​ประ​เทศต่างๆ​ ​ครูรู้สึกว่า​ ​การศึกษา​เหมือน​กับ​โรงงานผลิตรถยนต์​ ​แต่​ใน​ฟินแลนด์บรรดาครูคิดว่า​ ​เขา​เป็น​นักเซ็งลี้​ ( Entrepreneurs) ​คือ​ ​ผลิดของ​ใช้​ที่ดี​และ​เข้า​มาตรฐาน​

Math
====

Taiwan =====549
Finland =====548
Hong Kong ===547
South Korea===547
Netherlands===531
Switzerland===530
Canada =====527
Macao======525
Liechtenstein==525
Japan=======523

US=========474

​สา​เหตุอันหนึ่งที่ทำ​ให้​เด็กฟินแลนด์ประสพ​ความ​สำ​เร็จก็คือการรักการอ่าน​ ​พ่อแม่ของเด็กเกิด​ใหม่​จะ​ได้​รับของขวัญ​จาก​รัฐ​ ​รวม​ทั้ง​หนังสือที่​เป็น​รูปสำ​หรับเด็ก​ด้วย​ ​ห้องสมุดบางแห่ง​อยู่​ติด​กับ​มอลล์​ใหญ่​เลย​ ​และ​จะ​มีห้องสมุดเคลื่อนที่​ได้​ ​ซึ่ง​จะ​เดินทางออกไป​ไกล​เพื่อบริการประชาชน​ด้วย​

​เนื่อง​จาก​ฟินแลนด์​ไม่​ได้​ใช้​ภาษาร่วม​กับ​ประ​เทศ​ไกล้​เคียง​ ​และ​แม้หนังสือที่ดีต่างๆ​ก็​จะ​ได้​รับการแปลค่อนข้างล่าช้า​ ​ฉ​นั้น​เด็กชาวฟินแลนด์​ ​ยกตัวอย่าง​จะ​พยายามดิ้นรน​ ​ขวนขวายพยายาม​ ​อ่าน​ฉบับ​ภาษาอังกฤษว่า​ Harry Potter ​จบ​ด้วย​อย่างไร​ ​เพราะ​กลัวว่า​ ​จะ​รู้​เรื่องตอนจบ​ ​ก่อน​ฉบับ​ภาษาฟินแลนด์​จะ​ออกตีพิมพ์​ ​ภาพยนต์​หรือ​ทีวี​ ​จะ​มีคำ​บรรยาย​ ​แต่​จะ​ไม่​มี​แปล​หรือ​พากษ์​ ​ผลทำ​ให้​นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งบอกว่า​ ​ทำ​ให้​เขา​อ่าน​ได้​เร็ว​มากตั้งแต่​เด็กเลย​เพราะ​ชอบดูรายการทีวี​เรื่องหนึ่งที่มี​แต่คำ​บรรยาย​

​เมื่อเดือนตุลาคมที่​แล้ว​ ​นักการศึกษา​จาก​สหรัฐเดินทางไปเพื่อศึกษาว่า​ ​ทางฟินแลนด์​ใช้​เทคโนโลยี​ใน​การสอนอย่างไร​ ​พบว่า​ ​ครูที่นั่น​ใช้​แค่กระดาน​และ​ชอล์ค​เท่า​นั้น​ ​ไม่​ได้​ใช้​อะ​ไรที่ทันสมัย​ ​บทเรียนก็​ใช้​ส่อง​จาก​หน้าสมุด​หรือ​หนังสือ​ ​ขึ้นบนจอ​ ​ไม่​ได้​ใช้​ powerpoint ​หรือ​อะ​ไร​ทั้ง​สิ้น​ ​ผู้​ที่​ไปศึกษาทึ่ง​ใน​วิธีการสอน​ ​มากกว่าการ​ใช้​เทคโนโลยี​ ( ​เขา​ไม่​ได้​ใช้​เลย) ​ก็​เลยงงว่า​ ​"​แล้ว​จะ​เอา​ไป​ใช้​ทีอเมริกาอย่างไร"

​มีนักเรียนชาวฟินแลนด์คนหนี่งเห็น​ความ​แตกต่างของระบบการเรียนการสอน​ ​ระหว่างของฟินแลนด์​กับ​อเมริกา​เป็น​อย่างดี​เลย​ ​เพราะ​เด็กคนนี้​ได้​ทุน​เป็น​นักเรียนแลกเปลี่ยน​ ​ไปเรียนที่​แถว​ Michigan ​ซึ่ง​พบว่าที่​ ​รร​ ​นี้มีกฎเข้มงวด​ ​แต่​ไม่​ได้​ออกมาว่า​ ​รร​ ​จะ​มีหลักสูตรที่กระดูก​หรือ​หิน​ ​หรือ​มีนักเรียนที่​เข้ม​หรือ​เก่งเลย​ ​เมื่อ​เขา​ถามนักเรียนอเมริ​กัน​ว่า​ "ทำ​การบ้าน​หรือ​เปล่า​ ​เมื่อคืนนี้​" ​ก็​ได้​คำ​ตอบวา​ ​"​ไม่​ได้​ทำ​หรอก​ ​แล้ว​เธอละทำ​อะ​ไร​ ​เมื่อคืนนี้​" ​นักเรียนชาวฟินแลนด์​เล่า​ถึง​ความ​จำ​ที่​เคยเจอมา​ให้​ฟัง​ ​ที่​ ​รร​ ​นี้​ ​คำ​ถามของบทเรียนประวัติศาสตร์มัก​เป็น​แบบปรนัย​ ​ดัง​นั้น​จึง​ไม่​มี​โอกาส​ได้​เขียน​หรือ​บรรยาย​ ​ดัง​นั้น​เมือเด็กฟินน์คนนี้กลับไป​ ​ทางรร​จึง​ให้​ซ้ำ​ชั้น​ ​ม​ 6 ​อีกครั้ง​

READING
======
Korea =====556
Finland=====547
Hong Kong===536
Canada=====527
New Zealand==521
Ireland======517
Australia=====513
Leichtenstein==510
Poland======508
Sweden=====507

US ​ไม่​มีข้อมูล​

ดู​เหมือนว่าวิธีการสอนของฟินแลนด์​จะ​ง่าย​ ​แต่​...​นักวิชาการอเมริ​กัน​คิดว่า​จะ​เอา​ไป​ใช้​ใน​อเมริกาคงยาก​ ​เพราะ​ใน​ฟินแลนด์​นั้น​ประชากร​เป็น​ชนเชื้อชาติ​เดียว​กัน​มีนักเรียนที่​ไม่​ใช้​ภาษาฟินน์​เป็น​ภาษา​แม่น้อยมาก​ ​ใน​สหรัฐ​ 8 ​เปอร์​เซ็นต์ของนักเรียนที่​ไม่​ใช้​ภาษาอังกฤษ​เป็น​ภาษา​แม่​ ( ​จาก​สถิติของกระทรวงศึกษาสหรัฐ) ​ยิ่งกว่า​นั้น​ ​ความ​แตกต่าง​ใน​ระดับการศึกษา​และ​ราย​ได้​ของประชากรของฟินแลนด์ก็น้อย​ ​ประ​เทศฟินน์​แลนด์​จะ​แยกเด็กออก​ ​ใน​ช่วงสามปีสุดท้ายของระดับมัธยม​โดย​อาศัยคะ​แนน​ ​กล่าวคือ​ 53 % ​ของนักเรียนไปเรียนต่อจนจบ​ ​ม​ 6 ​ส่วน​ที่​เหลือไปเรียนวิชาชีพ​ ( ​นักเรียนอายุ​ 15 ​ปีทุกคน​ ​ต้อง​สอบ​ PISA ) ​ประ​เทศฟินน์​แลนด์มีอัตราที่​เด็กนักเรียน​ไม่​เรียน​ (drop out-​ออก​จาก​ ​รร​ ) ​ประมาณ​ 4 % ​ใน​ ​รร​ ​มัธยม​ ​และ​10 % ​ใน​โรงเรียนวิชาชีพ​ ​ซึ่ง​ใน​สหรัฐมี​ถึง​ 25 %

​ความ​แตกต่างอีกอย่างคืองบประมาณที่​ใช้​ใน​การศึกษา​ ​ใน​สหรัฐ​ ​ใช้​เงินประมาณ​ $8700 ​ต่อนักเรียนหนึ่งคน​ ​แต่ของฟินน์​แลนด์​ใช้​เพียง​ $7500 ​ต่อคน​ ​ซึ่ง​อาศัยเงิน​จาก​ภาษีที่​เก็บ​ใน​อัตราที่สูงมาก​ ​ดัง​นั้น​ทุกโรงเรียน​ใน​ฟินน์​แลนด์​จึง​ได้​งบ​จาก​รัฐบาล​เท่า​กัน​ ​ใน​ขณะที่​ใน​สหรัฐ​นั้น​ ​ขึ้น​กับ​ภาษีท้องถิ่น​และ​รัฐ​ ​ที่​ใหนมีฐานะดี​ ​ภาษี​ ( ​คล้าย​ VAT ​บ้านเรา)​เข้า​มามาก​ ​โรงเรียนก็​ได้​เงินสนับสนุน​จาก​ท้องถิ่นแยะ​ ​ที่​ใหนจน​ ​สภาพโรงเรียนก็​แปรตามไปเช่น​กัน​ ​ดัง​นั้น​ ​ความ​แตกต่างของคุณภาพของโรงเรียน​ใน​ถิ่นต่างๆ​ ​ใน​ฟินน์​แลนด์​นั้น​น้อย​ ​โดย​ดู​จาก​ PISA ​ใน​ขณะทีผลที่​ได้​ของสหรัฐ​นั้น​ออกมาระดับกลาง​เท่า​นั้น​ ( ​แม้​จะ​ค่าถัวเฉลี่ย​จะ​จ่าย​ให้​นักเรียนต่อคน​ ​จะ​สูงกว่า)

​อีกประการนักเรียนของฟินน์​แลนด์มี​ความ​ห่วงเรื่อง​เข้า​เรียนต่อ​ใน​มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด​ ​หรือ​เรื่องค่า​ใช้​จ่ายน้อย​ ​เพราะ​ค่า​เล่า​เรียนระดับมหาวิทยาลัย​นั้น​ "ฟรี​" ​ส่วน​เรื่องการเลือกมหาวิทยาลัยดี​เด่น​นั้น​ ​เขา​ก็มีที่ดี​ ​แต่​ไม่​เด่นมากอย่างเช่นอย่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด​ใน​สหรัฐ​ ​เมื่อ​ไม่​มี​ความ​กดดันเรื่องการ​เข้า​เรียน​หรือ​ห่วงเรื่องค่า​ใช้​จ่าย​ ​ทำ​ให้​นักเรียนเรียนอย่างสบาย​ ​ไม่​มี​ความ​กดดัน​ ​ใน​ขณะที่​ใน​สหรัฐ​นั้น​ ​พ่อแม่​ผู้​ปกครองเริ่มห่วงเรื่อง​จะ​หาที่​เข้า​เรียน​ ​ตั้งแต่ระดับ​ ​รร​ ​อนุบาล​ ​ส่วน​นักเรียน​ใน​ฟินน์​แลนด์​เริ่ม​เข้า​เรียนตั้งแต่อายุ​ 7 ​ขวบ​ ​ซึ่ง​หลังเด็กอเมริ​กัน​ประมาณ​ 1 ​ปี​

​(​โดย​ประมาณ​ ​ขณะนี้​ ​นักเรียนมหาวิทยาลัย​ ​หรือ​อย่างนักเรียนทุนรัฐบาลไทย​ ​ต้อง​จ่าย​ ​ค่า​เล่า​เรียน​และ​ที่​อยู่​ประมาณ​ ​สาม​ถึง​สี่หมื่น​-​น่า​จะ​ค่อนไปทางสี่หมื่น​ ​เหรียญสหรัฐ​เป็น​อย่างต่ำ​ - ​ผู้​เรียบเรียง)

​ความ​แตกต่างที่สำ​คัญอีกอย่างก็คือ​ ​ผู้​ปกครองฟินน์ปล่อย​ให้​ ​โรงเรียนจัดการกิจกรรมเรื่องเด็กหมด​ ​ใน​ขณะที่พ่อแม่อเมริ​กัน​ ​จะ​พา​เด็กไปส่งโรงเรียนเองบ้าง​ ​จัดการกิจกรรม​ให้​ลูกบ้าง​ ​เด็กฟินน์มัก​จะ​จัดการเรื่องเหล่านี้​เองหมด​ ​ยกตัวอย่าง​ใน​ ​รร​ ​แห่งหนึ่ง​ใน​ฟินน์​แลนด์​ ​เด็ก​ ​ป​ 1 ​ต้อง​ย่ำ​ผ่านป่าต้นสนตอนฟ้า​ยัง​มืดไปโรงเรียนเอง​ ​ตอนเที่ยงเด็กเหล่านี้​ไปเอาอาหาร​ซึ่ง​โรงเรียนจัดหา​ให้​ฟรี​เอง​ ​และ​เอาถาดอาหารไปทานเองที่​โต๊ะ​ ​การ​ใช้​ Internet ​ใน​ห้องสมุด​ใน​โรงเรียน​ ​ก็​ไม่​มีการกรอง​ ​หรือ​กัน​ ( filter) ​และ​ใน​ห้องเรียน​ ​เด็กเหล่านี้​สามารถ​ถอดรองเท้า​เดิน​ใน​ห้อง​ได้​ ​อย่างไรก็ดี​ ​ที่บ้าน​ ​พวกเด็กเหล่านี้​ต้อง​รู้จัก​ใส่​และ​ผูกรองเท้าสำ​หรับเสก็ต​หรือ​สกี​เอง​ได้​

​ชาวฟินน์​เป็น​ชนที่มีมาตรฐานของการครองชีพที่สูงที่สุด​( highest standards of living ) ​ประ​เทศหนึ่ง​ใน​โลก​ ​แม้กระ​นั้น​ประ​เทศนี้ก็​เป็น​ห่วงว่า​ ​เขา​จะ​ตามหลังชาติ​อื่น​ ​อัน​เป็น​ผล​เนื่อง​มา​จาก​การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก​ ​อัน​เนื่อง​มา​จาก​งานของประชากรของประ​เทศ​นั้น​ขึ้น​กับ​ ​บริษัทอุตสาหกรรม​ใหญ่​ hi-tech, telecommunication​ใหญ่ๆ​ ​เช่น​ Nokia ​รวม​ทั้ง​อุตสาหกรรมทางด้านป่า​ไม้​ ​และ​เหมืองแร่​ ​ทำ​ให้​เริ่มมีนักวิชาการออก​ความ​เห็นว่า​ ​ฟินน์​แลนด์ควร​ต้อง​หาทาง​ ​ทำ​ให้​พวกนักเรียนเก่งๆ​ ​ไป​ได้​เร็ว​แบบเดียว​กับ​ที่มี​ใช้​ใน​สหรัฐ​ ​เพื่อผลิตบัณฑืตที่มีความ​สามารถ​สูงมากขึ้น​ ( ​บท​ความ​ใช้​คำ​ว่า​ go-getters ​นึกคำ​ไทย​ไม่​ออก​ ​น่า​จะ​เป็น​'​พวกลุยแหลก​' ​ใน​ที่นี้หมาย​ถึง​ทางการทำ​งาน​ ​ไม่​ใช่​ใน​ทางเกเร​ ) ​โดย​อาศัยโครงการเด็กเก่ง​ ​หรือ​เด็กอัฉริยะ​
​ขณะ​เดียว​กัน​ผู้​ปกครองชาวฟินน์​ ​ก็​เริ่ม​จะ​กดดัน​ให้​โรงเรียน​ความ​สำ​คัญเรื่องการ​ให้​ความ​สนใจเด็กที่​เก่งๆ​ ​มากขึ้น​ ​ผอ​ ​โรงเรียนแห่งหนึ่งกล่าว​ ​"​และ​พวกเรานักการศึกษาก็ทราบ​และ​เข้า​ใจดีว่า​ ​เริ่มมีพ่อแม่​แบบสไตล์อเมริ​กัน"​ (คือที่ชอบ​เข้า​มายุ่ง​กับ​ ​รร​ ​มากขึ้น​ )

​รร​ ​ที่กล่าว​ใน​บท​ความ​นี้​เป็น​โรงเรียนต้นแบบ​ ​หน้าร้อนที่ผ่านมา​ ​มีการประชุม​กัน​ที่​เปรู​ ​ผอ​ ​รร​ ​นี้​ได้​พูด​ถึง​การเอาวิธีการเรียนการสอนของฟินน์​แลนด์​ ​เล่าว่า​ ​ใน​ชั่วโมงตอนบ่ายมีการสอนวิชา​ ​คณิตศาสตร์ขั้นสูง​ ​มีนักเรียนชายคนหนึ่งหลับฟุบบนโต๊ะ​ ​ครูก็​ไม่​ได้​ปลุก​ ​แต่ก็​เรียกคน​อื่น​ให้​ตอบ​ ​โดย​ปกติ​ ​การหลับ​ใน​ห้องก็​ไม่​ได้​เป็น​เรืองที่ทางครู​จะ​สนับสนุน​ ​แต่​.. ​ผอ​ ​กล่าวว่า​ "​เราก็​ต้อง​รับว่า​ ​เด็กก็คือเด็ก​ ​และ​เขา​ก็​ต้อง​หาทางที่​จะ​ต้อง​อยู่​รอด" (they are learning how to live ​ไม่​แน่​ใจว่า​ ​แปลตรงเป้า​หรือ​เปล่า​ - ​ผู้​เรียบเรียง​ )

​ตัวอย่างข้อสอบ​
​วิทยาศาสตร์​
​การทำ​แป้งขนมปัง​ ​คนทำ​ขนม​จะ​ผสมแป้ง​ ​น้ำ​ ​เกลือ​ ​และ​ยีสท์​ ​หลัง​จาก​ที่ผสม​กัน​แล้ว​ ​จะ​เอาของที่​ได้​นั้น​ไปวางใว้หลายชั่วโมง​ ​เพื่อ​ให้​มีการหมักเกิดขึ้น​ ​ระหว่างที่​เกิดการหมักนี้​ ​มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี​ ​ใน​แป้งเกิดขึ้น​ ​กล่าวคือ​ ​เชื้อยีสท์​( ​ซึ่ง​เป็น​รา​เซลเดียว) ​จะ​ช่วย​ใน​การเปลี่ยนแป้ง​และ​น้ำ​ตาล​ใน​ผงแป้งนี้​ ​ให้​เป็น​คาร์บอนไดอ๊อกไซด์​ ​และ​แอลกอร์ฮอล์​ ​การหมักทำ​ให้​แป้งพองตัวออก​
​คำ​ถาม​ ​ทำ​ไมแป้ง​ถึง​พองตัวออก​
1 ​มันพองออก​ ​เพราะ​มีการผลิตแอลกอร์ฮอล์​ซึ่ง​เปลี่ยนต่อไป​เป็น​แกส​
2 ​เพราะ​ยีสท์ขยายตัวเพิ่มจำ​นวนมากขึ้น​
3 ​เพราะ​มันเกิด​ ​คาบอนไดอ๊อกไซด์ขึ้น​
4 ​เพราะ​การหมักทำ​ให้​มีน้ำ​ซึ่ง​กลาย​เป็น​ไอ​

​คำ​ตอบคือข้อที่​ 3


​บท​ความ​มี​แค่นี้​

​ก็​เช่นเคย​ ​ใครมี​ความ​เห็นอยาก​จะ​มีมุมมอง​ ​อยาก​จะ​เชิญ​ให้​เข้า​มาร่วม​กัน​ถก​ ...

ขอบคุณบทความดี ๆ ที่มีให้การศึกษาไทย เสมอ ๆ ครับ คุณนิโคลา

ไปถกกับคุณนิโคลาได้ที่นี่ครับ
http://board.obec.go.th/viewtopic.php?p=179311&sid=7f31c5b74a1f3169dc0032f2ce148491#179311

ความคิดเห็น