ห้องเรียนทันข่าว ห้องเรียนก๊อปข่าว ?
ได้มีโอกาสเขียนข่าวให้กับห้องเรียนทันข่าวไปหลายตอน
แต่ละข่าวนั้นกินเวลาอย่างน้อยร่วม 2 ชั่วโมง โดยตอนที่นานที่สุดคือ "ข่าวห้องน้ำสองเพศ"
ใช้เวลาร่วม ๆ 6 ชั่วโมง เนื้อข่าวที่เขียนพอสรุปออกมาแล้ว ได้ไม่กี่บรรทัดครับ...55555
ที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเพราะแต่ละข่าวต้องการ การกลั่นกรองว่า
- แต่ละคำเหมาะสมไหม?
- การใช้คำถูกต้องตามอัขระวิธีหรือไม่ ?
- ถูกหลักไวยกรณ์ หรือไม่?
- เนื้อข่าว หัวข้อข่าวเหมาะสมหรือไม่?
- ที่สำคัญคือ ข่าวจะถูกใจคนอ่าน มีประโยชน์ต่อการนำไปใช้เพียงใด?
คำถามข้างต้นล้วนเป็นสิ่งที่คนเขียนข่าวต้องถาม และตอบโจทย์ให้ได้ ก่อน , ระหว่าง หรือหลังการเขียนข่าว
หากเป็นก่อนเขียนข่าวก็ดีหน่อย คือวิเคราะห์เรื่องต่าง ๆ ที่จะเขียน ตอบโจทย์ทุกข้อที่ต้องการจากนั้นจึงลงมือเขียน... ลักษณะการทำงานแบบนี้ยากตอนเริ่ม แต่ง่ายตอนปฏิบัติ
ส่วนการเขียนเสร็จแล้วค่อยมาตอบโจทย์ ดูจะเป็นอะไรที่ยุ่งยาก เพราะเมื่อเขียนเสร็จแล้วถ้าไม่ถูกใจมีหวังได้โล๊ะทิ้ง แล้วเริ่มเขียนใหม่เป็นแน่ ซึ่งก็ดูแล้วเป็นอะไรที่ไม่สนุกเลย
การทำงานของผมอยู่ตรงกลางครับ คือ วางโครง กำหนดหัวข้อ ดูแหล่งข้อมูลคร่าว ๆ หากเป็นข่าวจากต่างประเทศ ก็แปลเสียให้เสร็จ แล้วเริ่มลงมือเขียน
ทุกข่าวที่เขียน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแหล่งข่าวอย่างน้อย 3 ข่าว เพราะ
1. เราไม่ได้หาข่าวเอง การมีแหล่งข้อมูลเดียวจึงขาดความน่าเชื่อถืออย่างแรง
2. แหล่งข่าวเดียว มีความเสี่ยงในการโดนข้อหา ละเมิดลิขสิทธิ์ เกิน 80%
3. การไม่มีแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย คนอ่านน่าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรในการเขียน คือผมหมายความว่า การอ่านจากที่เราเขียน ไม่สู้ไปอ่านจากแหล่งข่าวต้นฉบับดีกว่าหรือ?
กรณีของลิขสิทธิ์นี่ค่อนข้างละเอียดอ่อนจริง ๆ แต่เราก็พบว่าในปัจจุบัน เนื้อหาที่ปรากฎบนหน้าเว็ปไซต์ล้วนเป็นข้อมูลสาธารณะ ใครใคร่หยิบไปใช้ก็สุดแล้วแต่ใจปรารถนา เราทุกคนล้วนปฏิบัติอย่างนั้น ใช่ไหมครับ? เหตุผลที่ฟังดูซื่อ ๆ ไร้เดียงสานิด ๆ คือ "ใช้เพื่อการศึกษาาาาาา"
ในทัศนะของผมแล้ว อันที่จริงเรากำลัง "ทำผิด" อย่างร้ายแรง การที่เป็นบุคลากรทางการศึกษา
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำตัวให้เป็น แบบอย่างที่ดี ต่อบุคคลอื่นในสังคม การเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น
เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เหนือสิ่งอื่นใด คือ "การเป็นผู้นำ" ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง และดีงาม
ในต่างประเทศ... เนื้อหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ งานเขียน งานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่มีลิขสิทธิ์ ผู้นำไปใช้งานเองก็เคารพสิทธิ์ของเจ้าของานอย่างเคร่งครัด โดยลิขสิทธิ์แต่ละแบบ ก็มีลักษณะการใช้ที่แตกต่างกันไป แม้กระทั่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เปิดเผยรหัสต้นฉบับ (Source Code) ก็มีลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน แม้ว่ามันจะเปิดเผยรหัส แต่ผู้นำไปใช้จะต้องกระทำตามข้อตกลง ลิขสิทธิ์ เช่น GPL , LGPL , CC เป็นต้น ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คุณสามารถเอาไปใช้ได้ แต่หากคุณแก้ไขและเกิดผลดีโดยรวม ก็ให้ส่งผลการแก้ไขไปยังเจ้าของเดิมเพื่อการพัฒนา เป็นต้น
หันกลับมาดูห้องเรียนทันข่าวกันครับ...
1. ให้เอาข่าวมาเล่า หรือนำเสนอ...
- ปัจจุบันผมว่าบางอันนี่มันไม่ใช่ข่าว หรือเป็นข่าวที่ไม่ "ทันข่าว" นอกจากนี้ยังเป็นข่าวที่ดูแล้ว ไม่น่าสนใจเลย
2. ข้อนี้ที่เป็นห่วง (และคิดว่าเว็ปมาสเตอร์ก็เป็นห่วงเช่นกันเพราะพยายามจะติดไว้น่าเว็ปว่าอย่า!!!! เอาออกแล้วคิดว่าคงเหนื่อยแล้วมั๊ง 55555 มันเป็นประเด็นของลิขสิทธิ์เต็มๆ)
คือ "การคัดลอกข่าวแบบตัดแปะ"
- หากคิดถึงหัวอกคนหาข่าวนี่จะซึ้งใจครับ เพราะกว่าจะได้แต่ละข่าวมา ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนนะครับ ล้วนแต่ต้องใช้กำลังทรัพย์กันทั้งนั้น บางข่าวต้องไปหาอยู่ในถิ่นห่างไกล สุดแสนจะลำบาก ช่วงนี้คงยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะ ประการที่ 1 เจ้าของข่าวยังไม่รู้ว่าข่าวของตัวเองถูกคัดลอกไป ประการที่ 2 เจ้าของข่าวรู้แต่ก็คิดว่าดีเหมือนกันถือเสียว่าทำบุญทำทาน ประการที่ 3 เจ้าของข่าวรู้แต่ก็ได้ประโยชน์จากลิงค์ที่กลับมายังข่าวต้นฉบับ
3. ข้อนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงหนักกว่า ข้อ 2 เพราะ นอกจากคัดลอกมาทั้งฉบับแล้ว ยังไม่ให้เครดิตเจ้าของที่แท้จริง ซ้ำร้ายยังไม่มีลิงค์ที่มาของข่าวอีกด้วย... อันนี้เสียมารยาทอย่างแรงครับ
เอาเป็นว่า ผมเน้น 3 ข้อหลักก็แล้วกัน ส่วนเรื่องอื่น ๆ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ
สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์ทั้ง 3 เพราะอะไร?
ไม่ยากครับ
1. สพท.ที่เข้าโครงการจะต้องเขียนข่าวให้ได้อย่างน้อย 30 ข่าว (ใช้เวลา 3 เดือน ตกเดือนละ 10 ข่าว หรือสัปดาห์ละอย่างน้อย 2 ข่าว) ด้วยความเร่งรัดนี้จึงเกิดกรณีตัดแปะ (ฟังดูแหม่ง ๆ คล้าย ๆ คศ.3 นะ ว่าไหม?)
2. การแบ่งหมวดหมู่ให้เขียน ผมมองว่าแต่ละคนมีความถนัดที่หลากหลาย การจำกัดเฉพาะหมวดหมูใด ๆ ไม่เป็นผลดีแน่ เพราะบางหมวดหมู่แทบจะไม่มีข่าวที่พอจะเอาไปเล่นได้เลย ทำให้บางข่าวที่มีคน "พยายามจะเขียน" ออกมาจืดสนิท
3. ด้วยความที่เป็น "ห้องเรียนทันข่าว" เราไม่สามารถ ระดมคนมาเขียนได้ภายในครั้งเดียว หรือรวมกลุ่มคนที่มีความสามารถมาช่วยกันเขียนได้ เพราะแต่ละข่าวแน่นอนว่าขึ้นอยู่ในเงื่อนเวลา บางข่าวยังไม่เกิด... เขียนได้ไง? บางข่าวเกิดแล้ว...แต่เกิดมานานมาก... เขียนได้ไง?
เคยคิดว่าจะรวมกันในลักษณะช่วยกันเขียน แต่ก็ติดประเด็นนี้ละครับ ที่ไม่สามารถทำได้จริง ๆ
เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นปัญหา ที่ท้าทายอย่างยิ่งยวด
เอาละในเมื่อมันเกิดกรณีปัญหา แล้วเราจะต้องทำอย่างไร จึงควรจะเป็น "ห้องเรียนทันข่าว"
อย่าว่ากันนะเพราะนี่เป็นทัศนะของผม คุณผู้อ่านคิดยังไง ก็ลองช่วย ๆ กันระดมความคิดเห็น
1. ก่อนอื่นเลยอ่านข่าวให้มากครับ บางทีอาจเจอข่าวที่เราสนใจ และคิดว่าคนอื่น น่าจะสนใจด้วย
2. เมื่อได้หัวข้อข่าวแล้ว ก็ยึดแหล่งข่าวที่เราเจอไว้ให้มั่น อ่าน และศึกษาข้อมูลให้ถ่องแท้
3. หาแหล่งข่าวอื่น ที่กำลังเล่นข่าวนั้น ๆ อยู่ เพิ่มเติมอีกสัก 2 แหล่งข้อมูล
4. อ่านทุกแหล่งข้อมูล ให้ละเอียด เพื่อเตรียมการบูรณาการ
5. เมื่อได้ข้อมูลทุกอย่างมาแล้ว เขียนลงในกระดาษหรือโปรแกรม text editor ทั่วไป ที่สามารถแก้ไขข้อมูลได้โดยง่าย
6. การเขียนควรใช้คำของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็ปรับแต่งให้สวยงาม สละสลวย ไม่ใช่ตัดแปะมาทีละย่อหน้า
7. หากเราใส่ภาพไว้ด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกแหล่งที่มาของภาพ หากสามารถทำลิงค์กลับไปยังภาพต้นฉบับด้วยจะดีมาก
กรณีศึกษาเว็ปคุณแอนนนนน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ตอนหนึ่ง http://iannnnn.com/2008/574
ตอนสอง http://iannnnn.com/2008/575
ตอนสาม http://iannnnn.com/2008/576
8. หากเพิ่มเติมความคิดเห็นของตัวเองไปยังเนื้อข่าวด้วย ควรบอกว่าเป็นความเห็นของผู้เขียนเอง
9. ทุกข้อความในเนื้อหาข่าว ถ้ามีศัพท์ทางเทคนิค หรือข้อมูลเฉพาะ ควรหาแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งทำลิงค์ประกอบ เพื่อผู้อ่านจะสามารถค้นคว้าได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกขึ้น
10. สรุปสุดท้าย คือ ประโยชน์จากข่าว ผู้อ่านได้อะไรจากข่าว เนื้อหาที่ควรไปศึกษาเพิ่มเติม คำถามฝากคิดให้ผู้อ่านได้ร่วมคิดร่วมทำ มีปฏิสัมพันธ์กับข่าวที่เขียน
11. คำถามที่คาใจคุณคือ แล้วถ้ามันไม่มีหัวข้อข่าวให้เขียนจะทำยังไง คำตอบตรงไปตรงมาคือ อย่าได้เขียนเพราะมันจะจืดสนิท แต่หากจะเขียนก็หยิบเอาประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับข่าวนั้นมาเขียน เช่น ขอยกตัวอย่างงานเขียนหนึ่งนะครับ แต่ไม่ขอบอกก็แล้วกันว่ามาจากไหน
คงยังจำเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ภูเก็ตกันได้นะครับ ซึ่งเหตุการณ์เครื่องบินตกก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า "เครื่องบินตก คนตาย คนเจ็บ" ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ แต่ถ้าจะให้นำเสนอแบบโคตรสร้างสรรค์ ก็ฉีกแนวไปเขียนเรื่อง "ปรากฎการณ์วินเชียร์" ซึ่งเป็นภาวะที่ลมมีผลต่อเครื่องบิน และเป็นสาเหตุให้เครื่องบินตกหลายครั้ง การนำเสนอแบบนี้นอกจากผู้อ่านจะได้ความรู้แล้ว ยังเป็นข้อมูลสำหรับประกอบการอ่านข่าวต้นฉบับได้เป็นอย่างดี
ทั้งหลายทั้งปวงที่เขียนมาล้วนมาจากความมุ่งหวังให้ "เจตนา" ของห้องเรียนทันข่าวสมกับที่ได้ตั้งไว้
มีความ "สง่า" "งดงาม" สมกับเป็นงานเขียนของบุคลากรทางการศึกษา เป็นตัวอย่างที่ดี ที่คอยเติมเต็มและจรรโลงสังคม ด้วยปลายปากกาของภูมิปัญหาแห่งแผ่นดิน
ปล. เขียนครั้งเดียว และรวดเดียว จบ ขอบคุณ ทุกท่านที่อ่านมาจนสุดบรรทัดนี้
IMHO
ครูป๋อง
สุดขอบเขา...
เราอยู่ตรงนี้...
แต่ละข่าวนั้นกินเวลาอย่างน้อยร่วม 2 ชั่วโมง โดยตอนที่นานที่สุดคือ "ข่าวห้องน้ำสองเพศ"
ใช้เวลาร่วม ๆ 6 ชั่วโมง เนื้อข่าวที่เขียนพอสรุปออกมาแล้ว ได้ไม่กี่บรรทัดครับ...55555
ที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเพราะแต่ละข่าวต้องการ การกลั่นกรองว่า
- แต่ละคำเหมาะสมไหม?
- การใช้คำถูกต้องตามอัขระวิธีหรือไม่ ?
- ถูกหลักไวยกรณ์ หรือไม่?
- เนื้อข่าว หัวข้อข่าวเหมาะสมหรือไม่?
- ที่สำคัญคือ ข่าวจะถูกใจคนอ่าน มีประโยชน์ต่อการนำไปใช้เพียงใด?
คำถามข้างต้นล้วนเป็นสิ่งที่คนเขียนข่าวต้องถาม และตอบโจทย์ให้ได้ ก่อน , ระหว่าง หรือหลังการเขียนข่าว
หากเป็นก่อนเขียนข่าวก็ดีหน่อย คือวิเคราะห์เรื่องต่าง ๆ ที่จะเขียน ตอบโจทย์ทุกข้อที่ต้องการจากนั้นจึงลงมือเขียน... ลักษณะการทำงานแบบนี้ยากตอนเริ่ม แต่ง่ายตอนปฏิบัติ
ส่วนการเขียนเสร็จแล้วค่อยมาตอบโจทย์ ดูจะเป็นอะไรที่ยุ่งยาก เพราะเมื่อเขียนเสร็จแล้วถ้าไม่ถูกใจมีหวังได้โล๊ะทิ้ง แล้วเริ่มเขียนใหม่เป็นแน่ ซึ่งก็ดูแล้วเป็นอะไรที่ไม่สนุกเลย
การทำงานของผมอยู่ตรงกลางครับ คือ วางโครง กำหนดหัวข้อ ดูแหล่งข้อมูลคร่าว ๆ หากเป็นข่าวจากต่างประเทศ ก็แปลเสียให้เสร็จ แล้วเริ่มลงมือเขียน
ทุกข่าวที่เขียน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแหล่งข่าวอย่างน้อย 3 ข่าว เพราะ
1. เราไม่ได้หาข่าวเอง การมีแหล่งข้อมูลเดียวจึงขาดความน่าเชื่อถืออย่างแรง
2. แหล่งข่าวเดียว มีความเสี่ยงในการโดนข้อหา ละเมิดลิขสิทธิ์ เกิน 80%
3. การไม่มีแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย คนอ่านน่าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรในการเขียน คือผมหมายความว่า การอ่านจากที่เราเขียน ไม่สู้ไปอ่านจากแหล่งข่าวต้นฉบับดีกว่าหรือ?
กรณีของลิขสิทธิ์นี่ค่อนข้างละเอียดอ่อนจริง ๆ แต่เราก็พบว่าในปัจจุบัน เนื้อหาที่ปรากฎบนหน้าเว็ปไซต์ล้วนเป็นข้อมูลสาธารณะ ใครใคร่หยิบไปใช้ก็สุดแล้วแต่ใจปรารถนา เราทุกคนล้วนปฏิบัติอย่างนั้น ใช่ไหมครับ? เหตุผลที่ฟังดูซื่อ ๆ ไร้เดียงสานิด ๆ คือ "ใช้เพื่อการศึกษาาาาาา"
ในทัศนะของผมแล้ว อันที่จริงเรากำลัง "ทำผิด" อย่างร้ายแรง การที่เป็นบุคลากรทางการศึกษา
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำตัวให้เป็น แบบอย่างที่ดี ต่อบุคคลอื่นในสังคม การเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น
เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เหนือสิ่งอื่นใด คือ "การเป็นผู้นำ" ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง และดีงาม
ในต่างประเทศ... เนื้อหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ งานเขียน งานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่มีลิขสิทธิ์ ผู้นำไปใช้งานเองก็เคารพสิทธิ์ของเจ้าของานอย่างเคร่งครัด โดยลิขสิทธิ์แต่ละแบบ ก็มีลักษณะการใช้ที่แตกต่างกันไป แม้กระทั่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เปิดเผยรหัสต้นฉบับ (Source Code) ก็มีลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน แม้ว่ามันจะเปิดเผยรหัส แต่ผู้นำไปใช้จะต้องกระทำตามข้อตกลง ลิขสิทธิ์ เช่น GPL , LGPL , CC เป็นต้น ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คุณสามารถเอาไปใช้ได้ แต่หากคุณแก้ไขและเกิดผลดีโดยรวม ก็ให้ส่งผลการแก้ไขไปยังเจ้าของเดิมเพื่อการพัฒนา เป็นต้น
หันกลับมาดูห้องเรียนทันข่าวกันครับ...
1. ให้เอาข่าวมาเล่า หรือนำเสนอ...
- ปัจจุบันผมว่าบางอันนี่มันไม่ใช่ข่าว หรือเป็นข่าวที่ไม่ "ทันข่าว" นอกจากนี้ยังเป็นข่าวที่ดูแล้ว ไม่น่าสนใจเลย
2. ข้อนี้ที่เป็นห่วง (และคิดว่าเว็ปมาสเตอร์ก็เป็นห่วงเช่นกันเพราะพยายามจะติดไว้น่าเว็ปว่าอย่า!!!! เอาออกแล้วคิดว่าคงเหนื่อยแล้วมั๊ง 55555 มันเป็นประเด็นของลิขสิทธิ์เต็มๆ)
คือ "การคัดลอกข่าวแบบตัดแปะ"
- หากคิดถึงหัวอกคนหาข่าวนี่จะซึ้งใจครับ เพราะกว่าจะได้แต่ละข่าวมา ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนนะครับ ล้วนแต่ต้องใช้กำลังทรัพย์กันทั้งนั้น บางข่าวต้องไปหาอยู่ในถิ่นห่างไกล สุดแสนจะลำบาก ช่วงนี้คงยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะ ประการที่ 1 เจ้าของข่าวยังไม่รู้ว่าข่าวของตัวเองถูกคัดลอกไป ประการที่ 2 เจ้าของข่าวรู้แต่ก็คิดว่าดีเหมือนกันถือเสียว่าทำบุญทำทาน ประการที่ 3 เจ้าของข่าวรู้แต่ก็ได้ประโยชน์จากลิงค์ที่กลับมายังข่าวต้นฉบับ
3. ข้อนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงหนักกว่า ข้อ 2 เพราะ นอกจากคัดลอกมาทั้งฉบับแล้ว ยังไม่ให้เครดิตเจ้าของที่แท้จริง ซ้ำร้ายยังไม่มีลิงค์ที่มาของข่าวอีกด้วย... อันนี้เสียมารยาทอย่างแรงครับ
เอาเป็นว่า ผมเน้น 3 ข้อหลักก็แล้วกัน ส่วนเรื่องอื่น ๆ เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ
สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์ทั้ง 3 เพราะอะไร?
ไม่ยากครับ
1. สพท.ที่เข้าโครงการจะต้องเขียนข่าวให้ได้อย่างน้อย 30 ข่าว (ใช้เวลา 3 เดือน ตกเดือนละ 10 ข่าว หรือสัปดาห์ละอย่างน้อย 2 ข่าว) ด้วยความเร่งรัดนี้จึงเกิดกรณีตัดแปะ (ฟังดูแหม่ง ๆ คล้าย ๆ คศ.3 นะ ว่าไหม?)
2. การแบ่งหมวดหมู่ให้เขียน ผมมองว่าแต่ละคนมีความถนัดที่หลากหลาย การจำกัดเฉพาะหมวดหมูใด ๆ ไม่เป็นผลดีแน่ เพราะบางหมวดหมู่แทบจะไม่มีข่าวที่พอจะเอาไปเล่นได้เลย ทำให้บางข่าวที่มีคน "พยายามจะเขียน" ออกมาจืดสนิท
3. ด้วยความที่เป็น "ห้องเรียนทันข่าว" เราไม่สามารถ ระดมคนมาเขียนได้ภายในครั้งเดียว หรือรวมกลุ่มคนที่มีความสามารถมาช่วยกันเขียนได้ เพราะแต่ละข่าวแน่นอนว่าขึ้นอยู่ในเงื่อนเวลา บางข่าวยังไม่เกิด... เขียนได้ไง? บางข่าวเกิดแล้ว...แต่เกิดมานานมาก... เขียนได้ไง?
เคยคิดว่าจะรวมกันในลักษณะช่วยกันเขียน แต่ก็ติดประเด็นนี้ละครับ ที่ไม่สามารถทำได้จริง ๆ
เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นปัญหา ที่ท้าทายอย่างยิ่งยวด
เอาละในเมื่อมันเกิดกรณีปัญหา แล้วเราจะต้องทำอย่างไร จึงควรจะเป็น "ห้องเรียนทันข่าว"
อย่าว่ากันนะเพราะนี่เป็นทัศนะของผม คุณผู้อ่านคิดยังไง ก็ลองช่วย ๆ กันระดมความคิดเห็น
1. ก่อนอื่นเลยอ่านข่าวให้มากครับ บางทีอาจเจอข่าวที่เราสนใจ และคิดว่าคนอื่น น่าจะสนใจด้วย
2. เมื่อได้หัวข้อข่าวแล้ว ก็ยึดแหล่งข่าวที่เราเจอไว้ให้มั่น อ่าน และศึกษาข้อมูลให้ถ่องแท้
3. หาแหล่งข่าวอื่น ที่กำลังเล่นข่าวนั้น ๆ อยู่ เพิ่มเติมอีกสัก 2 แหล่งข้อมูล
4. อ่านทุกแหล่งข้อมูล ให้ละเอียด เพื่อเตรียมการบูรณาการ
5. เมื่อได้ข้อมูลทุกอย่างมาแล้ว เขียนลงในกระดาษหรือโปรแกรม text editor ทั่วไป ที่สามารถแก้ไขข้อมูลได้โดยง่าย
6. การเขียนควรใช้คำของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็ปรับแต่งให้สวยงาม สละสลวย ไม่ใช่ตัดแปะมาทีละย่อหน้า
7. หากเราใส่ภาพไว้ด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกแหล่งที่มาของภาพ หากสามารถทำลิงค์กลับไปยังภาพต้นฉบับด้วยจะดีมาก
กรณีศึกษาเว็ปคุณแอนนนนน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ตอนหนึ่ง http://iannnnn.com/2008/574
ตอนสอง http://iannnnn.com/2008/575
ตอนสาม http://iannnnn.com/2008/576
8. หากเพิ่มเติมความคิดเห็นของตัวเองไปยังเนื้อข่าวด้วย ควรบอกว่าเป็นความเห็นของผู้เขียนเอง
9. ทุกข้อความในเนื้อหาข่าว ถ้ามีศัพท์ทางเทคนิค หรือข้อมูลเฉพาะ ควรหาแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งทำลิงค์ประกอบ เพื่อผู้อ่านจะสามารถค้นคว้าได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกขึ้น
10. สรุปสุดท้าย คือ ประโยชน์จากข่าว ผู้อ่านได้อะไรจากข่าว เนื้อหาที่ควรไปศึกษาเพิ่มเติม คำถามฝากคิดให้ผู้อ่านได้ร่วมคิดร่วมทำ มีปฏิสัมพันธ์กับข่าวที่เขียน
11. คำถามที่คาใจคุณคือ แล้วถ้ามันไม่มีหัวข้อข่าวให้เขียนจะทำยังไง คำตอบตรงไปตรงมาคือ อย่าได้เขียนเพราะมันจะจืดสนิท แต่หากจะเขียนก็หยิบเอาประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับข่าวนั้นมาเขียน เช่น ขอยกตัวอย่างงานเขียนหนึ่งนะครับ แต่ไม่ขอบอกก็แล้วกันว่ามาจากไหน
คงยังจำเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ภูเก็ตกันได้นะครับ ซึ่งเหตุการณ์เครื่องบินตกก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า "เครื่องบินตก คนตาย คนเจ็บ" ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ แต่ถ้าจะให้นำเสนอแบบโคตรสร้างสรรค์ ก็ฉีกแนวไปเขียนเรื่อง "ปรากฎการณ์วินเชียร์" ซึ่งเป็นภาวะที่ลมมีผลต่อเครื่องบิน และเป็นสาเหตุให้เครื่องบินตกหลายครั้ง การนำเสนอแบบนี้นอกจากผู้อ่านจะได้ความรู้แล้ว ยังเป็นข้อมูลสำหรับประกอบการอ่านข่าวต้นฉบับได้เป็นอย่างดี
ทั้งหลายทั้งปวงที่เขียนมาล้วนมาจากความมุ่งหวังให้ "เจตนา" ของห้องเรียนทันข่าวสมกับที่ได้ตั้งไว้
มีความ "สง่า" "งดงาม" สมกับเป็นงานเขียนของบุคลากรทางการศึกษา เป็นตัวอย่างที่ดี ที่คอยเติมเต็มและจรรโลงสังคม ด้วยปลายปากกาของภูมิปัญหาแห่งแผ่นดิน
ปล. เขียนครั้งเดียว และรวดเดียว จบ ขอบคุณ ทุกท่านที่อ่านมาจนสุดบรรทัดนี้
IMHO
ครูป๋อง
สุดขอบเขา...
เราอยู่ตรงนี้...
ความคิดเห็น
ถ่ายรูปหน้าท่านยาวไป ไม่หล่อเท่าตัวจริง(เรื่องจริงนะ)
เลยไม่ได้หยิบอะไร ติดมือมาเลยแม้แต่ทะเบียน
สมาชิกที่เข้าอบรม
ที่เขียน ก็บ่นให้ตัวเองฟังเสียมากกว่า
ว่าอย่าทำอะไรลวก ๆ และขาดจรรยาบรรณ
ใครที่ผ่านมา หากเห็นว่าเป็นประโยชน์บ้าง
ก็ถือเป็นอานิสงฆ์ไปก็แล้วกันครับ 5555
คือจะบอกว่าที่เขียนนี่อารมณ์มันพาไปล้วน ๆ เลย
คิดอะไรได้ก็ร่ายสด ๆ กลับมาดูอีกทีเขียนได้ยาวเหยียดเลย
จาก พี่เมาะ
เอ้า กลายเป็นงั้นไป
บอกตามตรงว่า การทำงานจริงๆแล้วลำบากใจ ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่ใจคิดหรือตั้งใจเลย
ปีก่อน ให้โรงเรียนและนักเรียนเป็นคนเขียน โดยไม่กำหนดหมวดของบทความ ก็มีหลายหมวดที่ไม่มีบทความเลย มาปีนี้ ก็ต้องแก้ไขด้วยการกำหนดหมวดของบทความ เพื่อไม่ให้มีหมวดว่าง แต่ก็อย่างว่า คงไม่มีอะไรที่ถูกใจใครทุกเรื่อง
ในประเด็นการคัดลอกบทความมานี่ก็ปวดใจแล้ว เมื่อ 2-3 วันนี้ สพท.หนึ่ง ไม่อยากเอ่ยชื่อ ส่งกลอนวัยหวานเข้ามา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ อะไรประเภทนี้ พร้อมรูปการ์ตูนญี่ปุ่นแสนสวย ส่งเข้ามาทีก็ 5-6 เรื่องแน่ะ เห็นแล้วเซ็งหนักเข้าไปอีก เพราะไม่อยากเชื่อว่าระดับ สพท.จะเข้าใจงานได้ชัดเจนและเคลียร์ขนาดนี้
แถมวันนี้ เว็บโดนแฮก เว็บมาสเตอร์ไม่ว่าง
ก็แค่อยากบ่นนิดนึง ขอบคุณถ้าหากครูป๋องอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ค่ะ
ปล. ความเห็นเรื่องตัดแปะผมเขียนเยอะแล้วไม่ออกความเห็นเพิ่มล่ะ
ผมส่งเมล์ให้พี่อภันตรีแล้วทาง obecmail ...
หากอ่าน จุดประสงค์ ตามที่ หน่วยเหนือต้องการ ก็คือ จุดประสงค์ อยากให้คนทันโลก
ฉนั้น ก็ต้องเป็นข่าวที่น่าสนใจ สำคัญ น่ารู้ ซึ่งมันน่าจะมีพอควร ยกตัวอย่าง แค่จาก website "BBC News" หรือจาก Reuters ก็มีเรื่องน่าสนใจแยะ
แต่....... นี่คือปัญหา เพราะมันเป็นภาษาประกิต ฉนั้นแหล่งของข้อมูลที่เราจะไปหาเนื้อหา ก็น้อยไป
ทำไปทำมา หากต้องการตามที่จุดประสงค์ตั้งใว้ มันก็ต้องเอาข่าวมาเรียบเรียง อย่างมากที่สุด อาจจะต้องไปเอาข่าวเรื่องเดียวกัน มาจากหลายๆ แหล่ง เพื่อ เรียบเรียงให่ม่ เหมือนเราทำ term paper อย่างนั้นแหละ
ปัญหาสำคัญ ก็คือ ครูเรา ( รวมทั้ง คนไทย เกือบ ร้อยละ 99 ว่าอย่างนั้นดีกว่า ) ไม่ได้เรียน ( ตั้งแต่ระดับ มัธยมต้นมาเลย ) เรื่องการทำ paper ฉนั้น ผลมันถึงออกมาอย่างที่เห็น
ว่างๆ( ต้องว่างจริงๆ เพราะตอนนี้ กำลังเรียน อยู่) จะเขียนเรื่องการเขียน term paper ซึ่งมันไม่มีอะไรมากมาย เพียงแต่ เราต้องอยากจะทำได้ เราต้อง ตั้งหลัก ตั้งต้น หัด มีระเบียบ มีระบบ กันใหม่
อีกเรื่อง คือ ความใจแคบ อย่างสุดๆ ของ พวกบริหาร "ห้องเรียนทันข่าว" หากไม่รับข้อวิจารณ์ มุมมอง จากนอก ไอ้ความคิด ความอ่าน ความเห็น ความก้าวหน้า มันก็จะเป็นเหมือน พายเรือในอ่างนั่นแหละ
ในที่นี้หมายถึงเรื่องการออกความเห็น ใน "ห้องเรี่ยน ทันข่าว " ต้องไปกรอง หากไม่เป็นที่พอใจของ คนบริหาร ก็ไม่เอาลง
แบบนี้ เท่ากับปิดหูปิดตา ไม่มองว่า ข้างนอกคิดอย่างไร เป็นความใจแคบของคนในวงการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
samira samilan
ขอบคุณสำหรับมุมมอง ดี ๆ แนวทางที่ตรงไปตรงมา ทั้งเพื่อจุดประสงค์ของ "การพัฒนา" จริง ๆ